มิติใหม่ แพทย์จ่ายหนังสือแทนยาบำบัดอาการซึมเศร้า! บทบาทสำคัญของห้องสมุดชุมชนเพื่อสร้างสุขภาวะ
โรคซึมเศร้าเป็นภัยเงียบที่กำลังคร่าชีวิตผู้คน เกิดได้กับทุกเพศ ทุกวัย หลายต่อหลายกรณี ผู้ป่วยไม่รู้ตัวว่าป่วย กว่าจะรู้ก็ถึงขั้นรุนแรง เกินควบคุม ส่งผลให้ตัดสินใจจบชีวิตลงแล้วหลายต่อหลายราย
ปี 2561 กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข รายงานว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยซึมเศร้า ตั้งแต่อายุ 15 ปีขึ้นไป กว่า 1.5 ล้านคน ข้อมูลนี้ยังไม่นับรวม กลุ่มผู้ป่วยซึมเศร้าเด็กที่อายุ ต่ำกว่า 15 ปี ขณะที่สหรัฐอเมริกาเก็บข้อมูลตั้งแต่อายุ 3-17 ปี พบผลที่น่าตกใจว่า เด็กและเยาวชนกว่า 1 ใน 5 ได้รับการวินิจฉัยว่ามีความผิดปกติทางจิตใจ สภาวะอารมณ์ รวมไปถึงพฤติกรรม หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เข้าข่ายภาวะซึมเศร้า (Depression)
ย้ำอีกครั้งว่า ภาวะซึมเศร้า (Depression)พบได้ในเด็กที่อายุ เพียง 3 ขวบ
สภาวะแพร่ระบาดของโรคซึมเศร้าทั่วโลกขณะนี้ องค์กรอนามัยโลก หรือ WHOพบว่า มีผู้ป่วยโรคซึมเศร้าทั่วโลกมากกว่า 300 ล้านคน การฆ่าตัวตายจากโรคซึมเศร้า ยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตลำดับที่ 2 ของช่วงวัย 15-29 ปี
ในทางการแพทย์ ให้คำอธิบายว่า โรคซึมเศร้าเกิดจากสารเคมีในสมองที่ไม่สมดุล อันส่งผลต่อความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรม การเยียวยารักษาวิธีหลักจึงเป็นการใช้ยาต้านเศร้าเพื่อปรับสารเคมีในสมองให้กลับมาเป็นปกติ
ปัจจุบันแม้ตัวยาได้รับการพัฒนาไปมาก แต่การใช้ยายังส่งผลข้างเคียงต่อชีวิตของผู้ป่วยค่อนข้างมาก เช่น อาการ คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดความพยายามมาอย่างยาวนาน เพื่อหาวิถีทางใหม่ๆ ในการรักษาผู้ป่วย และข้อค้นพบที่สามารถให้ผลอย่างชัดเจนได้วิธีหนึ่งในกลุ่มผู้ป่วยซึมเศร้าระดับต้นถึงปานกลางก็คือ “การอ่านหนังสือ”
หนังสือ ยาทางเลือก และยาเสริมกำลังบำบัดโรคซึมเศร้า
การอ่านทำงานอย่างไรต่อสมองของเรา เหตุใดจึงก่อให้เกิดความสุข ความตื่นตัว จนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทั้งร่ายกายและจิตใจ
ปี 2011 Shira Gabriel และ Ariana F.Young นักวิจัยจาก University at Buffalo, state University of New York เผยถึงการทดลองจากการให้อาสาสมัครอ่านหนังสืออย่างต่อเนื่องพบว่า การอ่านทำให้มนุษย์มีความสุข ปิติและพึงพอใจ เพราะสามารถเชื่อมมนุษย์เข้ากับสิ่งต่างๆ เป็นการจำลองปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ที่ทำให้รู้สึก ทุกข์ สุข เศร้า สมหวังได้จริง ๆ เหตุนี้เอง การอ่านจึงทำให้มีชีวิตชีวา หรือตื่นจากความสลืมสลือขึ้นมาอีกครั้ง
“ ความรู้สึกเชื่อมโยงกับสังคม คือความต้องการของมนุษย์ที่เข้มข้น เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้สึกเชื่อมต่อกับผู้อื่นได้ เราจะรู้สึกดีกับเรื่องทั่วๆ ไป และยิ่งจะรู้สึกดีกับชีวิตของตัวเอง” นักวิจัยทั้งสองกล่าว ถึงข้อสรุปของผลการศึกษาวิจัย
การอ่านทำให้เราเข้าอกเข้าใจผู้อื่น พลังของเรื่องราวทำให้เราจินตนาการ เห็นคุณค่าของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเรื่องของตัวเราอย่างสัมผัสได้ นี่คือผลชัดเจนที่ได้จากอ่านหนังสือประเภท “วรรณกรรม”
วรรณกรรมประเภทไมใช่นิยาย (non- fiction) ทั้งหนังสือความรู้ สารคดี ก็ให้ผลเชิงบวกเช่นกันข้อพิสูจน์นี้ชัดเจน ในปี 2003 กรณีของ นายแพทย์ นีล ฟรูด์ (Neil Frude) จิตแพทย์คลินิกชื่อดัง แห่งประเทศอังกฤษ ที่พบว่า มีผู้ป่วยเข้ารับบริการที่คลินิกมากขึ้นทุกขณะ ส่งผลให้ต้องรอรับบริการยาวนาน และเมื่อถึงกำหนดพบแพทย์แล้ว ก็ยังต้องมารออยู่หน้าห้องเป็นเวลาอีกหลายชั่วโมง สถานการณ์เหล่านี้ส่งผลให้ผู้ป่วยยิ่งมีความเครียด และอาการแย่ลง “ต้องมีวิธีการที่มีพลังที่จะบำบัดผู้คนได้มากกว่านี้ ไม่ใช่แบบ 1 ต่อ 1 อย่างนี้”นายแพทย์ นีล ฟรูด์ (Neil Frude) เริ่มหาทางออก
“หนังสือสามารถเป็นคู่มือการดูแลตัวเอง ที่บอกทุกอย่างกับผู้ป่วยอย่างเป็นขั้นเป็นตอนจนสามารถปฏิบัติตามได้ ไม่ต่างจากหนังสือ คู่มือการทำอาหาร ผมเชื่อในพลังของหนังสือที่เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญ นักจิตวิทยาคลินิก เขียนจากประสบการณ์และงานวิจัยจำนวนมาก ” เขายังกล่าวอีกว่า การทำเรื่องนี้ให้เป็นจริง เริ่มด้วยการสื่อสารกับ จิตแพทย์ จิตวิทยาคลินิกก่อน เลือกสรรหนังสือที่มีความเหมาะสมกับอาการของผู้ป่วย และส่งไปยังห้องสมุดต่างๆ เมื่อแพทย์เขียนใบสั่งยา แทนที่ผู้ป่วยจะไปหาเภสัชกร กลับเดินเข้าห้องสมุด ใช้ใบสั่งหยิบหนังสือเล่มที่ช่วยให้เขา กลับไปเรียนรู้ เข้าใจตัวเอง และฟื้นฟูชีวิตได้
“นี่เป็นวิธีการที่ลงทุนน้อย เรียบง่าย แต่มีพลังมาก มีประสิทธิภาพมาก”
โครงการ Book Prescriptionเริ่มขึ้นในตัวเมือง Cardiff ที่รัฐ Wales ในปี 2003 ด้วยความร่วมมือของ จิตแพทย์และบรรณารักษ์ แล้วโครงการเล็กๆ นี้สามารถทำให้ผู้คนเข้าถึงและได้รับประโยชน์อย่างมาก พวกเขาต่างบอกต่อๆ กันว่า วิธีการนี้สามารถช่วยพวกเขาได้จริงๆ ในปี 2005 โครงการนี้เข้าตารัฐบาล ทำให้ขยายโครงการใหญ่ขึ้นด้วยการยกระดับให้ความสำคัญจนเป็นงานระดับชาติ เรียกว่า โครงการ Book PrescriptionWales ดำเนินการโดยหน่วยงานของรัฐ
ปัจจุบัน รัฐบาลจัดซื้อหนังสือที่ได้รับการคัดเลือกแล้วไม่ต่ำกว่า 30,000 รายการ และจัดสรรไปยังห้องสมุดตามจุดต่างๆ นายแพทย์นีล กล่าวว่า “ตอนนี้เรารู้แล้วว่า ผู้คนจำนวนมาก แม้จะไม่ทุกคน พวกเขาไปได้ด้วยดีกับแนวคิด การบำบัดด้วยหนังสือ (BiblioTherapy) พวกเขาได้เรียนรู้ลงไปถึงอาการต่างๆ ของตัวเอง ได้รู้จักตัวเอง และรู้ที่จะเยียวยารักษาเมื่อมีอาการวิตกกังวล” นายแพทย์คนดังยังกล่าวอีกว่า สถานการณ์การเจ็บป่วยด้วยโรคซึมเศร้าหนักขึ้นอย่างเงียบๆ การวินิจฉัยทุก 6 คน จะพบผู้ป่วยซึมเศร้า 1 ราย และเมื่อติดตามไปตลอดช่วงอายุ อาจเป็น 1 ใน 4 หรือ 3 หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงระบบที่จะดูแล ช่วยเหลือผู้ป่วย ผู้ที่ได้รับผลเสีย ก็จะเป็นผู้ป่วยเอง
โวฮาน เกทติ้ง (Vaughan Gething) เลขาธิการด้านงานสุขภาพของรัฐบาลเวล์ กล่าวว่า ผู้คนสามารถเข้าถึงบริการจากห้องสมุดตามจุดๆ ต่างๆ ได้แล้วถึง 778,000 คน อย่างง่ายดาย “ฉันเชื่อว่า การเข้าไปช่วยเหลือในครั้งนี้จะสามารถสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่”
The Reading Agencyองค์กรที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลให้ดำเนินโครงการนี้ ไม่ได้หยุดโครงการดีๆ ไว้แต่เพียงเท่านี้ แต่ได้ต่อยอดขยายโครงการให้ไปถึงผู้คนกลุ่มเฉพาะมากขึ้น ในปี 2013 ได้เปิดโครงการคัดเลือกหนังสือเพื่อสร้างสุขภาวะกับกลุ่มวัยทำงาน ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก กล่าวคือ เพียง 2 ปี มีผู้ยืมหนังสือเพิ่มขึ้นถึง 97% แต่ทว่าผู้ป่วยก็มีมากขึ้น 346 % ในปี 2015 จึงขยายโครงการเข้าไปถึงกลุ่มเด็กและเยาวชน เพื่อป้องกันและบำบัดผู้ป่วยซึมเศร้าไม่ให้สั่งสมจนถึงวัยทำงาน เรียกว่า โครงการ อ่านอย่างสุขภาวะเพื่อคนรุ่นใหม่ (The Reading Well for Young People campaign) ที่คัดเลือกหนังสือโดย ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชเด็กและเยาวชน โดยหนังสือที่คัดเลือกมีทั้ง บันทึกคู่มือการดูแลตัวเอง สารคดี นวนิยาย และแน่นอนว่า หนังสือในรายการนี้จะสามารถหยิบยืมมาอ่านได้โดยทั่วไปในห้องสมุด ตามจุดต่างๆ
The Reading Agency กล่าวว่า เยาวชนของอังกฤษมีความเสี่ยงสูงที่จะเติบโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีอาการซึมเศร้า พวกเขามีปัจจัยเสี่ยงมากมายไม่ต่างจากผู้ใหญ่ ทั้งจากความกดดันจากการเรียน การสอบ การถูกยั่วยุ เหยียดหยามในโรงเรียน ปัจจุบันเยาวชนกลุ่มเสี่ยงโรคซึมเศร้าสูงขึ้นกว่า 2 เท่า ในรอบ 30 ปี มีเพียงเศษเสี้ยวเดียวเท่านั้นที่ได้รับการดูแล รักษาในโรงพยาบาล
จูโน่ ดอร์สัน (Juno Dawson)นักเขียนวรรณกรรมเยาวชน และสารคดีเยาวชน กล่าวว่า “เราต่างยอมรับว่า การดูแลด้านจิตเวช ยังไม่ดีพอ แต่ละเคสอาจต้องใช้เวลารอนัดหมอถึง 6 เดือน เพื่อที่จะเข้าไปรักษาอาการรับประทานอาหารผิดปกติ ขณะที่ต้องเจอกับอาการนี้ทุกวันๆ ฉันจึงเปี่ยมด้วยความหวังว่าหนังสือเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจตัวเอง และบรรเทาอาการของตัวเองได้”
เกบี้ เคย์แมน (Gaby Clement) หนึ่ง ใน หก ของเยาวชนที่ร่วมคัดเลือกหนังสือของโครงการฯ เล่าว่า “ผู้คนสามารถเข้าถึงหนังสือได้โดยง่ายตามจุดต่างๆ ผมคิดว่า นวนิยาย หรือหนังสือใดๆ ก็ตาม ทำงานได้ดีกับเยาวชน เรื่องราวในหลายๆ เรื่อง ช่วยให้เรารับมือกับสิ่งที่เราต้องข้ามไปให้ได้ มันสัมพันธ์กับบุคลิกภาพ เหมือนเป็นวิธีการที่เราจะได้รับคำแนะนำ โดยที่ไม่ต้องบอก ว่าเราต้องทำอะไร”
เอ็มบอท (Emybot)เยาวชนที่ผ่านวิกฤตในชีวิต ให้สัมภาษณ์กับ The guardian สำนักข่าวชื่อดังของอังกฤษถึงหนังสือเล่มสำคัญที่ช่วยชีวิตเขาไว้ ซึ่งเป็นหนังสือที่อยู่ในลิสต์รายชื่อของโครงการ the Reading Well for Young People Campaignว่า “เล่มที่ผมจะแนะนำให้กับทุกคนที่กำลังรู้สึกแย่ คือ เรื่อง The Perks of Being a Wallflower(จดหมายรักจากนายไม้ประดับ) นี่คือหนังสือเล่มโปรดของผม มันไม่ใช่แค่ความสุข หรือความเศร้าเสียทีเดียว หลากหลายความรู้สึกที่สัมผัส ไม่เพียงทำให้เห็นว่า สิ่งต่างๆ สามารถตกดิ่งลงไปและแตกสลายได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังบอกอีกว่า สิ่งที่แตกสลาย ต่างสามารถฟื้นกลับคืนมาได้ ผมรักเล่มนี้และแนะนำให้กับผู้คนเสมอๆ ”
เอ็ด เวซีย์ (Ed Vaizey) รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมของอังกฤษกล่าวว่า “ห้องสมุดสามารถเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเป็นหน่วยบริการสุขภาวะในท้องถิ่น ด้วยการเปิดให้เข้าถึงได้โดยง่าย ให้ข้อมูลกับทุกกลุ่มอายุ สร้างเสริมการอ่านให้เข้าไปช่วยเหลือผู้คนให้สามารถจัดการกับภาวะอารมณ์และความเป็นอยู่ เพื่อเรียนรู้ที่จะอยู่กับความกดดันของชีวิตในสังคมปัจจุบัน”
ปัจจุบัน The Reading Agencyดำเนินโครงการเพื่อพาหนังสือเข้าไปช่วยเหลือบำบัดผู้คนอีกหลายโครงการ พร้อมกับที่หลายหน่วยงานของอังกฤษ ยังใช้หนังสือทำกิจกรรม กับผู้ต้องขังตามทัณฑสถาน เด็กพิการ เด็กกำพร้า ผู้ติดยาเสพติด ซึ่งไม่เพียงทำให้พวกเขาได้อยู่กับหนังสืออย่างมีความสุขเท่านั้น แต่ยังพัฒนาผู้คนเหล่านี้จนกลายเป็นอาสาสมัครอ่านหนังสือให้ผู้อื่นฟัง
กลับไปที่ นายแพทย์ Neil Frude อีกครั้ง การเริ่มต้นของเขาส่งผลให้เกิดการพัฒนาต่อยอดตามมาครั้งยิ่งใหญ่ และสามารถช่วยชีวิตผู้คนได้อย่างมากมาย แต่ถึงกระนั้นเขากล่าวอย่างถ่อมตัวว่า
“ผมคิดว่าเราไม่ได้ทำอะไรใหม่ หนังสือมีอยู่แล้ว ห้องสมุดมีอยู่แล้ว สิ่งเหล่านี้มีอยู่มานานแล้ว แต่สิ่งสำคัญที่เราทำคือ เพียงเรามาร่วมมือกัน”
เพราะหนังสือก็มีอยู่แล้ว
ห้องสมุดก็มีอยู่แล้ว
เชื่อว่า สิ่งดีๆ ก็สามารถเกิดขึ้นในบ้านเราได้เช่นกัน
เพียงร่วมกัน ส่งต่อสารสำคัญนี้
ปิดเทอมนี้ ชวนเด็กๆ และครอบครัวไปห้องสมุด ไปสัมผัสหนังสือกันค่ะ
ลลิ จิตตสิงห์
อ่านประโยชน์ของหนังสือเพิ่มเติมได้ที่ :
วารสารอ่านสร้างสุข ฉบับ 13 ปลุกหัวใจหมอ ด้วยวรรณกรรม เรื่องเล่า , ฉบับ 17 บทกวีกลางดวงใจ และ ฉบับ 21 การอ่านมหัศจรรย์แห่งสุขภาพ-สุขชีวิต
http://www.happyreading.in.th/bookreview/index.php?t=happyreadingmag
ข้อมูลประกอบการเขียน
- https://www.prachachat.net/d-life/news-178335
- Neil Frude : https://www.youtube.com/watch?v=OQcs1eo5bsk
- The Reading Agencyhttps://readingagency.org.uk/news/media/new-national-reading-scheme-to-support-young-peoples-mental-health.html
- https://www.theguardian.com/books/2016/apr/12/book-an-appointment-doctors-to-prescribe-novels-in-new-scheme
- https://www.theguardian.com/society/2013/jan/31/gps-prescribe-self-help-books
- https://www.nhsdirect.wales.nhs.uk/lifestylewellbeing/bookprescriptionwales
- https://www.bostonglobe.com/ideas/2013/12/22/when-doctors-prescribe-books-heal-mind/H2mbhLnTJ3Gy96BS8TUgiL/story.html?s_campaign=sm_tw
- https://www.theguardian.com/childrens-books-site/2015/jan/19/the-teen-books-that-saved-my-life-blue-monday
- https://www.nbcnews.com/better/pop-culture/why-getting-lost-book-so-good-you-according-science-ncna893256